ตอบ 3.
ที่มา
ในทางฟิสิกส์ ความเร็ว คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งต่อหน่วยเวลา มีหน่วยเป็นเมตรต่อวินาที (m/s) ในหน่วยเอสไอ ความเร็วเป็นปริมาณเวกเตอร์ซึ่งประกอบด้วยอัตราเร็วและทิศทาง ขนาดของความเร็วคืออัตราเร็วซึ่งเป็นปริมาณสเกลาร์ ตัวอย่างเช่น "5 เมตรต่อวินาที" เป็นอัตราเร็ว ในขณะที่ "5 เมตรต่อวินาทีไปทางทิศตะวันออก" เป็นความเร็ว ความเร็วเฉลี่ย v ของวัตถุที่เคลื่อนที่ไปด้วยการกระจัดขนาดหนึ่ง ∆x ในช่วงเวลาหนึ่ง ∆t สามารถอธิบายได้ด้วยสูตรนี้ตอบ 2. 10m/s
ที่มา
แนวคิด S = ระยะทาง = 9 x 5o = 450 เมตร
v = อัตราเร็ว = 15 เมตรต่อวินาที
t = เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่
จากสมการ S = vt แทนค่าในสมการ จะได้
450 = 15 x t
t = 450 / 15
= 30 วินาที
กา ลิเลโอ ได้ ทำ การ ทด ลอง ให้ เห็น ว่า วัตถุ ที่ ตก ลง สู่ พื้น โลก อย่าง อิสระ จะ เคลื่อน ที่ ภาย ใต้ แรง ดึง ดูด ของ โลก ต่อ มา นิวตันสังเกตุ เห็น ว่า ทำไม ดวง จันทร์ ไม่ ลอย หลุด ออก ไป จาก โลก ทำไม ผล แอปเปิ้ลจึง ตก ลง สู่ พื้น ดิน นิวตัน ได้ ทำ การ ศึกษา ค้น คว้า ต่อ จน ใน ที่ สุด ก็ สามารถ พิสูจน์ ใน เรื่อง กฎ แห่งการ ดึง ดูด ของ สสาร โดย โลก และ ดวง จันทร์ ต่าง มี แรง ดึง ดูด ซึ่ง กัน และ กัน แต่ เนื่อง จาก ดวง จันทร์ โคจร รอบ โลก จึง มี แรง หนี สู่ ศูนย์ กลาง ซึ่ง ต่อ ต้าน แรง ดึง ดูด ไว้ ทำ ให้ ดวง จันทร์ ลอย โคจร รอบ โลก ได้ แต่ ผล แอปเปิ้ลกับโลก ก็ มี แรง ดึง ดูด ระหว่าง กัน ผล แอปเปิ้ลเมื่อ หลุด จาก ขั้ว จึง เคลื่อน ที่ อิสระ ตาม แรง ดึง ดูด นั้น
การ ตก อย่าง อิสระ นี้ วัตถุ จะ เคลื่อน ตัว ด้วย ความ เร่ง ซึ่ง เรียก ว่า Gravitational acceleration หรือ g ซึ่ง มี ค่า ประมาณ 9.8 m/s
การ เคลื่อน ที่ ใน แนว ดิ่ง นี้ จึง เป็น ไป ตาม กฎ การ เคลื่อน ที่ ดัง นี้
คือ การ ที่ วัตถุ เคลื่อน ที่ กลับ ไป มา ซ้ำ รอยเดิม มัก จะ ใช้สัญญลักษณ์ว่า SHM. ตัว อย่าง ของ การ เคลื่อน ที่ แบบ นี้ ได้ แก่ การ เคลื่อน ที่ ของ วัตถุ ที่ ถูก ผูก ติด ไว้กับสปริง ใน แนว ราบ แล้ว วัตถุ เคลื่อน ที่ ไป มา ตาม แรง ที่ สปริง กระ ทำ ต่อ วัตถุ ซึ่ง เขา จะ ศึกษา การ เคลื่อน ที่ นี้ จาก รูป ที่ 1 ใน รูป ที่ 1a ตำแหน่ง x = 0 เป็น ตำแหน่ง สมดุล ของ ปริง หรือ เป็น ตำแหน่ง ที่ สปริง มี ความ ยาว ตาม ปกติ ณ ตำแหน่ง นี้ สปริง จะ ไม่ ส่ง แรง มาก ระ ทำ ต่อ วัตถุ ใน รูป ที่ 1a นี้ มี วัตถุ มวล m ผูก ติดกับสปริง วาง อยู่ บน พื้น ที่ ซึ่ง ไม่ มี แรง เสียด ทาน ที่ ตำแหน่ง ซึ่ง ปริงยืด ออก จาก ความ ยาว ปกติ เป็น ระยะ ทาง A สปริง จะ ออก แรง ดึง วัตถุ มวล m กลับ มา อยู่ ใน ตำแหน่ง สมดุล x = 0 เรียก แรง ที่ สปริง กระ ทำ ต่อ วัตถุ นี้ ว่า แรง ดึง กลับ (Restoring force) ถ้า F เป็น แรง ดึง กลับ นี้ จะ ได้ ว่า F = -kx ----- (1) แรง ดึง กลับ มีเครื่องหมาย ลบ เพราะ ทิศ ทางของเวกเตอร์ของ แรงกับเวกเตอร์ของ การ ขจัด x มัก จะ ตรง ข้าม กัน เสมอ ค่า k คือ ค่า นิจ ของ สปริง (spring constant) ใน รูป ที่ 1 นี้ ได้ กำหนด ให้ ทิศ ทางขวา เป็น บวก ดัง นั้น ใน รูป 1a ตำแหน่ง x = A จึง เป็น บวก ใน ขณะ ที่ ทิศ ทางของ แรง ดึง กลับ เป็น ลบ และ เนื่อง จาก วัตถุ เริ่ม เคลื่อน ที่ ที่ x = A ความ เร็ว ของ วัตถุ จึง เป็น ศูนย์ เมื่อ ปล่อย ให้ วัตถุ เคลื่อน ที่ ตาม แรง ของ สปริง วัตถุ จะ เคลื่อน ที่ มา ทางซ้าย และ ใน รูป ที่ 1b วัตถุ ผ่าน ตำแหน่ง x = 0 หรือ ตำแหน่ง สมดุล ซึ่ง ตำแหน่ง นี้ แรง ที่ สปริง กระ ทำ ต่อ วัตถุ จะ เป็น ศูนย์ แต่ อัตรา เร็ว ของ วัตถุ จะ มาก ที่ สุด โดย ทิศ ของ ความ เร็ว จะ เป็น จาก ขวา ไป ซ้าย หรือ ความ เร็ว เป็น ลบ เนื่อง จาก พื้น ไม่ มี แรง เสียด ทาน และ สปริง ก็ ไม่ ออก แรง มาก กระ ทำ ต่อ วัตถุ ดัง นั้น ที่ ตำแหน่ง x = 0 นี้ วัตถุ จึง สามารถ รักษา สภาพ การ เคลื่อน ที่ ตาม กฎ ข้อ ที่ 1 ของ นิวตัน ไว้ ได้ วัตถุ จึง ยัง คง สามารถ เคลื่อน ที่ ต่อ ไป ทางซ้าย ได้ ใน ขณะ ที่ วัตถุ เคลื่อน ที่ ไป ทางซ้าย นั้น วัตถุ ก็ จะ ผลัก ให้ สปริง หด สั้น ไป จาก ความ ยาวเดิมด้วย ดัง นั้น สปริง จะ พยายาม ออก แรง ดึง กลับ ไป กระ ทำ ต่อ วัตถุ เพื่อ ให้ ตัว เอง กลับ ไป สู่ ความ ยาว ปกติ อีก จน ใน รูป ที่ 1 C แสดง ถึง ขณะ ที่ วัตถุ เคลื่อน ที่ ไป ทางซ้าย มาก ที่ สุด ความ เร็ว ของ วัตถุ จะ เป็น ศูนย์ ทิศ ของ แรง ดึง กลับ จาก ซ้าย ไป ขวา หรือ เป็น บวก เวกเตอร์ของ การ ขจัด ของ วัตถุ มี ทิศ จาก ขวา ไป ซ้าย และ มี ขนาด เป็น A ดัง นั้น ตำแหน่ง ของ วัตถุ ขณะ นี้ จึง เป็น x = -A มี ข้อ น่า สังเกต ว่า ขนาด ของ การ ขจัด มาก ที่ สุด ของ วัตถุ ไม่ ว่า จะ เป็น ทางซ้าย หรือ ขวา จะ เท่า กัน คือ เป็น a เนื่อง จาก ใน รูป 1c นี้ มี แรง มาก ระ ทำ ต่อ วัตถุ เพียง แรง เดียว คือ แรง จาก สปริง ซึ่ง มี ทิศ ไป ทางขวา วัตถุ จึง เคลื่อน ที่ กลับ ไป ทางขวา ด้วย อิทธิ พล ของ แรง นี้
สืบค้นข้อมูล
พิจารณา ลูก ตุ้ม ที่ ผูก ติดกับเชือก เบา แล้ว แกว่ง ไป มา ใน แนว ดิ่ง ใน ทำนอง เดียวกับการ แกว่ง ของ ลูก ตุ้ม นาฬิกา โดย กำหนด ให้ m เป็น มวล ของ ลูก ตุ้ม L เป็น ความ ยาว ของ เส้น เชือก Q เป็น มุม ที่ เส้น เชือก ทำกับแนว ดิ่ง จาก รูป จะ เห็น ว่า ใน ขณะ ที่ ลูก ตุ้ม อยู่ ใน แนว กับแนว ดิ่ง การ ขจัด จะ เป็น x ซึ่ง ถ้า เป็น มุม เล็ก ๆ จะ ได้ ว่า x = L ดัง นั้น การ ขจัด ของ วัตถุ อาจ จะ เขียน ได้ ว่า เป็น x หรือ เป็น ก็ ได้ เมื่อ พิจารณา แรง น้ำ หนัก mg ของ ลูก ตุ้ม ก็ สามารถ แตก แรง นี้ ออก เป็น 2 ส่วน คือ mgcos อยู่ ใน แนว เดียวกับเส้น เชือก และ mg sin ซึ่ง อยู่ ใน แนว เส้น สัมผัส แรง mg sin นี่ เอง ที่ เป็น แรง ดึง กลับ ที่ กระ ทำ ต่อ ลูก ตุ้ม นั่น คือ แรง ดึง กลับ = F = mg sin ใน ขณะ ที่ ระยะ ทางของ วัตถุ = x = LQ ดัง นั้น แรง ดึง กลับ จึง ไม่ แปรผัน โดย ตรงกับระยะ ทาง การ แก ว่ง ของ ลูก ตุ้ม นาฬิกา ไม่ น่า เป็น SHM แต่ ถ้า มุม มี ค่า น้อย ๆ จะ ได้ ว่า ใน หน่วยเรเดีย น sin = ดัง นั้น แรง ดึง กลับ = F = mg ระยะ ทาง = x = LQ จึง ได้ ว่า แรง ดึง กลับ เป็น สัด ส่วน โดย ตรงกับระยะ ทางแล้ว นั่น คือ การ แกว่ง ของ ลูก ตุ้ม นาฬิกา ที่ มี มุม น้อย ๆ จึง เป็น SHM พิจารณา แรง ดึง กลับ F = mg จาก รูป เมื่อ น้อย ๆ จะ ได้ = ดัง นั้น F = mg จาก กฎ ข้อ 2 ของ นิวตัน F = ma ดัง นั้น ความ เร่ง ของ ตุ้ม นาฬิกา = a = เนื่อง จาก การ เคลื่อน ที่ ของ ลูก ตุ้ม เป็น SHM ดัง นั้น a = 2x นั่นคือ 2x = g หรือ 2 = = โดย w เป็นความถี่เชิงมุม (angular frequency) = 2f ดังนั้น = 2f = f = = ความถึ่ของการแกว่งของลูกตุ้ม T = = 2 = คาบของการแกว่งของลูกตุ้ม
ตอบข้อ 2
ที่มา http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet3/supinya/harmonic-pen/pendulum.htm
สืบค้นข้อมูล
พอมีความเที่ยงตรงพอสมควร สำหรับการทำงานในระบบ ความถี่ต่ำ เภทที่ใช้ความถี่ต่ำในระบบที่ใช้ไฟ 50 หรือ 60 Hz (พวกมอเตอร์ทั้งหลาย)
การเพิ่มหรือลดกำลังไฟฟ้าเข้าสู่ระบบจะมีทั้งการเพิ่มแรงดัน ด้วยการเพิ่ม Exciter และ เพิ่มความเร็วรอบ โดยเพิ่มรอบให้ไฟออกมากขึ้น ซึ่งจะจ่ายไฟจากตัวนั้นมากขึ้นแต่ความถี่ก็จะสูงขึ้น หากมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพียง 2 ตัว การถ่ายโหลด ที่จะทำให้ความถี่ไม่เปลียน
คือเร่งความเร็วตัวที่จะเอาไปแทนขึ้น ขณะเดียวกับลดความเร็วของตัวที่จะปลดออก ลง ความถี่จึงจะยังคงที่
ในระบบใหญ่ๆก็คงเป็นลักษณะเดียวกัน แต่เครื่องกำเนิดอยู่คนละแห่งในการทำให้สำพันธ์กันจึงไม่ใช่ง่ายนัก
และยังขึ้นกับจำนวนภาระ (Load) ที่ใช้ไฟอยู่ด้วย หากมีการเปลียนแปลงภาระมากๆในเวลาเดียวกัน ก็จะทำให้ความถี่ตกลงไปด้วย
ในห้องควบคุมจะมีนาฬิกาสองเรือนที่เดินด้วยมอเตอร์แบบความเร็วคงที่(เปลี่ยนตามความถี่)เรือนหนึ่ง
และเดินด้วยแร่ Crytal ที่เที่ยงตรงกว่าและจะคอยปรับความถี่ของระบบให้นาฬิกาสองเรือนเดินตรงกัน ไม่ให้ผิดแม้แต่เสี้ยวของวินาที
ทำให้ค่าเฉลี่ยของระบบในระยะยาวๆเที่ยงตรง ใช้ได้ เสมอ
สรุปคงไม่ดีพอที่จะไปใช้สอบเทียบกับเครื่องมือที่ใช้ความถี่ สูงๆได้
เพราะ +/- 0.01 % ของ 50 Hz ก็เพียง เล็กน้อยเท่านั้น แต่หาก 0.01 % ของความถี่สูง เช่น 5 ล้าน Hz ก็คงมากโขอยู่
ตอบข้อ 4
ที่มา http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=31704
450 = 15 x t
t = 450 / 15
= 30 วินาที
สืบค้นข้อมูล
การ
ตอบ ข้อ 4. 49 m/s
สืบค้นข้อมูล
การ เคลื่อน ที่ แบบ ฮาร์โมนิ กอ ย่าง ง่าย
สืบค้นข้อมูล
ตอบข้อ 2
ที่มา http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet3/supinya/harmonic-pen/pendulum.htm
สืบค้นข้อมูล
พอมีความเที่ยงตรงพอสมควร สำหรับการทำงานในระบบ ความถี่ต่ำ เภทที่ใช้ความถี่ต่ำในระบบที่ใช้ไฟ 50 หรือ 60 Hz (พวกมอเตอร์ทั้งหลาย)
การเพิ่มหรือลดกำลังไฟฟ้าเข้าสู่ระบบจะมีทั้งการเพิ่มแรงดัน ด้วยการเพิ่ม Exciter และ เพิ่มความเร็วรอบ โดยเพิ่มรอบให้ไฟออกมากขึ้น ซึ่งจะจ่ายไฟจากตัวนั้นมากขึ้นแต่ความถี่ก็จะสูงขึ้น หากมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพียง 2 ตัว การถ่ายโหลด ที่จะทำให้ความถี่ไม่เปลียน
คือเร่งความเร็วตัวที่จะเอาไปแทนขึ้น ขณะเดียวกับลดความเร็วของตัวที่จะปลดออก ลง ความถี่จึงจะยังคงที่
ในระบบใหญ่ๆก็คงเป็นลักษณะเดียวกัน แต่เครื่องกำเนิดอยู่คนละแห่งในการทำให้สำพันธ์กันจึงไม่ใช่ง่ายนัก
และยังขึ้นกับจำนวนภาระ (Load) ที่ใช้ไฟอยู่ด้วย หากมีการเปลียนแปลงภาระมากๆในเวลาเดียวกัน ก็จะทำให้ความถี่ตกลงไปด้วย
ในห้องควบคุมจะมีนาฬิกาสองเรือนที่เดินด้วยมอเตอร์แบบความเร็วคงที่(เปลี่ยนตามความถี่)เรือนหนึ่ง
และเดินด้วยแร่ Crytal ที่เที่ยงตรงกว่าและจะคอยปรับความถี่ของระบบให้นาฬิกาสองเรือนเดินตรงกัน ไม่ให้ผิดแม้แต่เสี้ยวของวินาที
ทำให้ค่าเฉลี่ยของระบบในระยะยาวๆเที่ยงตรง ใช้ได้ เสมอ
สรุปคงไม่ดีพอที่จะไปใช้สอบเทียบกับเครื่องมือที่ใช้ความถี่ สูงๆได้
เพราะ +/- 0.01 % ของ 50 Hz ก็เพียง เล็กน้อยเท่านั้น แต่หาก 0.01 % ของความถี่สูง เช่น 5 ล้าน Hz ก็คงมากโขอยู่
ตอบข้อ 4
ที่มา http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=31704
สืบค้นข้อมูล
โปรเจค ไตล์ขอให้ทำความเข้าใจว่า การเคลื่อนที่แบบนี้เกิดบนสมมุติฐานที่ว่า การเคลื่อนที่ในแกน X และการเคลื่อนที่ในแนวแกน Y แยกจากกัน ทำให้เวลาคิด ก็แค่คิดแบบต่างคนต่างไปก็พอ
นี่คือรูป การเคลื่อนที่แบบโปรเจคไตล์นะครับ
ภาคคำนวน
ก่อนอื่นเราต้องรู้วิธีการแตกเวกเตอร์ก่อน ในรูปนั่นอ่ะ แตกเวกเตอร์ของความเร็วได้อะไร ในแนวแกน X และ Y
แกน X คือ แกนนอน แกน Y คือแกนตั้งนะครับ
โดยทั่วไป เค้าก็จะจำกันว่า ชิดมุมใช้คอส ห่างมุมใช้ไซน์
หมาย ถึง ถ้าเป็นความเร็วในแนวที่ชิดกับมุม ดูจากในรูป คือแกน X ก็จะใช้ เวกเตอร์ที่จะแตก(U)แล้วคูณด้วย cos จากตัวอย่าง ถ้าห่างมุมก็จะใช้ U คูณด้วย sin
จากตัวอย่างความเร็วในแนวแกน X ก็คือ U cos เซต้า แกน Y ก็คือ U sin เซต้า
ความจริงเราสามารถพิสูจน์ได้ไม่ยาก ว่าแตกแล้วทำไมถึงได้แบบนั้น ใช้ตรีโกณง่ายๆ
ลองไปทำดูเองนะครับ มันหารูปที่จะทำให้ดูยากอ่ะ ขอข้ามไปแล้วกัน
ทีนี้เวลาทำโจทย์อ่ะ ก็ต้องแยกความเร็วคิดก่อนเลย แตกเวกเตอร์แบบข้างบนแหละ ให้ได้ความเร็วออกมาทั้งแกน X และแกน Y
ลองดูอันนี้นะ
เวลาคิดก็คอนเซปเดิม คือ แยกคิดแต่ละแกน ซึ่งแต่ละแกนนั้นอ่ะ จะเชื่อมกันด้วยเวลา
ประมาณว่า ผ่านไป 1 วิ มันขึ้นไปในแกน Y แต่ 1 วินั้นมันก็ไปทางขวา ของแกน X ด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะ งั้นเรื่องนี้ก็จะเซตได้ 2 สมการ ที่เชื่อมกันด้วย เวลา(t) โดยแกน X จะง่ายๆ ไม่มีไรซับซ้อน เนื่องจาก มันไม่โดนความเร่งกระทำ เริ่มมามันมีความเร็วเท่าไหร่ มันก็ไปด้วยความเร็วนั้นต่อไปเรื่อยๆ
(ความเร่งที่กระทำกับวัตถุ อยู่ในแนวแกน Y) จากสมการ s = ut + 1/2at2 แต่ a เป็น 0 ก็จะทำให้เหลือ
แค่ s = uxt (U ต้องเป็น ความเร็วในแนวแกน X)เพราะงั้นถ้าเราจะหาระยะทางที่ไปได้ ก็ต้องการแค่ความเร็วในแกน X กับเวลาก็พอแล้ว
แต่...
แต่... เวลา ที่แกน X ใช้ในการเคลื่อนที่ในเรื่องนี้คืออะไร ลองดูรูป แล้วคิดตามว่า แกน X จะเริ่มวิ่งเมื่อไหร่ (ก็ตอนมันเริ่มขึ้นอ่ะจิ) แล้วมันจะหยุดวิ่งเมื่อไหร่(ก็ตอนที่มันปักลงพื้นอ่ะจิ หัวทิ่มดินแล้ว มันก็ไม่วิ่งต่อ)
เพราะงั้น เวลาที่แกน X ใช้เคลื่อนที่ก็คือ เวลาที่ แกน Y ใช้เริ่มขึ้นข้างบน แล้วตกลงพื้นนั่นเอง
ถ้า โจทย์เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่คิดหาเวลาที่มันใช้ตกลงพื้น(ใช้การ เคลื่อนที่แนวดิ่งแล้ว เห็นไม๊ ก็คือการกระจัดเป็น 0 และความเร็วเริ่มต้นที่ใช้ก็ต้องเป็นความเร็วที่แตกเข้าแกนแล้ว) แล้วก็นำเวลานั้นไปแทนค่าใน สมการของแกน X (บอกแล้วว่ามันเชื่อมกันด้วยเวลา) แล้วก็ตอบ
โจทย์ทดสอบความเข้าใจนะครับ
ขว้าง ลูกบอลออกจากตึกสูง 500 เมตร ด้วยความเร็ว 100 m/s ในแนวทำมุมเงย 30 องศากับแนวราบ จงหาว่าขณะที่ลูกบอลกระทบพื้น จะมีความเร็วเท่าใด และตกห่างจากจุดเริ่มปล่อยเท่าไรในแนวระดับ
เริ่มกันที่เราต้องแตกความเร็วออกไปในแกน X และ Y ได้ว่า U(x) = 50รูท3 m/s (หาวิธีพิมพ์ไม่ได้อ่ะ) U(y) = 50 m/s
ที นี้ โจทย์บอกว่าวัตถุ มันร่วงลงไปจากตึก กระทบพื้น เราก็จะมาหาเวลาที่มันใช้ร่วงไปยังพื้น(ซึ่งเวลานั้นแหละที่ความ เร็วในแกน X ใช้พาลูกบอลไปในแนวระดับ) จากสมการ s = ut +1/2at2(ใคร ที่ยังงงว่า เลือกสูตรไหนมาใช้หว่า ขอแนะนำว่าให้ตั้งมั่นไว้ว่าเราต้องการอะไร แล้วดูว่า เรารู้อะไรบ้าง ทำไปซักพัก มันจะเลือกสูตรได้เอง)
มัน ร่วงลงไปการกระจัดเป็น -500 m ความเร็วมีทิศขึ้นเพราะงั้นเป็น +50 m/s ค่า g มีทิศลงเพราะงั้นมีค่าเป็น -10m/s แก้สมการ -500 = 50t - 5t2 เสร็จแล้วก็แก้หา t ได้จาก การแก้สมการกำลังสอง ได้ t ออกมาไม่สวยนัก(เลขห่วย) แล้วเอาเวลา t นั้นอ่ะ ไปคูณกับความเร็วในแกน X ก็จะได้คำตอบของระยะทางที่โจทย์ต้องการ
ส่วนความเร็ว ที่จุดกระทบนั้นก็ให้หาความเร็วในแกน y ตอนที่กำลังจะกระทบพื้น
ซึ่งหาได้จากสูตร v2 = u2 +2as แทนค่า(ไม่ลงรายละเอียดแล้วนะครับ)
ก็จะได้ v2 = 7500 + 2 *-10*-500 = 7500+10000 = 17500
แต่ เราจะถอดรูทเลย แล้วตอบ ก็คงง่ายไป เค้าจะหลอกตรงที่ว่า ความเร็วที่ตกกระทบพื้น หลักๆ เกิดจาก แกน y ก็จริง แต่ในข้อนี้ ต้องเอาแกน X มารวมด้วย
รวมเวกเตอร์ได้ว่า 17500+2500 = v2 = 20000
ถอดรูทออก ก็จะได้ 100รูท2 เป็นคำตอบสุดท้ายในบทนี้
ตอบ ข้อ 3. ความเร็วของวัตถุในแนวดิ่งที่เป็นศูนย์
สืบค้นข้อมูล
ความหมายของอัตราเร่งหรือความเร่ง คือ อัตราเร็วหรือ ความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วยเวลาที่วัตถุมีการเคลื่อนที่
การ คำนวณหาค่าอัตราเร่ง ทำได้โดยหาอัตราเร็วที่เปลี่ยนไปโดยใช้อัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่ลบ ด้วยอัตราเร็วเริ่มต้นของการเคลื่อนที่ หารด้วยเวลาที่ใช้เปลี่ยนค่าอัตราเร็วนั้น เช่น
กำหนดให้ เป็นอัตราเร็วเริ่มต้นของการเคลื่อนที่
เป็นอัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่
เป็นเวลาขณะที่เริ่มต้นการเคลื่อนที่
เป็นเวลาในช่วงสุดท้ายของการเคลื่อนที
เป็นค่าอัตราเร่งของการเคลื่อนที่
สมการแสดงความสัมพันธ์ คือ
หรือ ถ้า คือ ช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนค่าอัตราเร็ว (สมการที่ 2)
สำหรับสูตรในการคำนวณหาค่าความเร่ง ใช้สูตรเดียวกัน เพียงแต่ค่าความเร็วที่เปลี่ยนไปเป็นปริมาณสเกลลาร์
เป็นอัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่
เป็นเวลาขณะที่เริ่มต้นการเคลื่อนที่
เป็นเวลาในช่วงสุดท้ายของการเคลื่อนที
เป็นค่าอัตราเร่งของการเคลื่อนที่
สมการแสดงความสัมพันธ์ คือ
หรือ ถ้า คือ ช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนค่าอัตราเร็ว (สมการที่ 2)
สำหรับสูตรในการคำนวณหาค่าความเร่ง ใช้สูตรเดียวกัน เพียงแต่ค่าความเร็วที่เปลี่ยนไปเป็นปริมาณสเกลลาร์
ตอบ ข้อ 1. 1.6 m/s
ตอบ 3.2.0m/s
ที่มา
ชายคนหนึ่งเดินจาก ก ไป ข แล้วจาก ข ไป ค และไป ง
ชายคนนี้จะได้ระยะทาง = 6 + 3 + 2 เมตร = 11 เมตร
ชายคนนี้จะได้การกระจัด = 5 เมตร
ชายคนหนึ่งวิ่งออกกำลังกายด้วยอัตราเร็วคงตัว 5 m/s เมื่อวิ่งได้ระยะทาง 200 m
เขารู้สึกเหนื่อยจึงเปลี่ยนเป็นเดินด้วยอัตราเร็วคงตัว 1 m/s ในระยะทาง 120 m
ต่อมา อัตราเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของชายคนนี้มีค่า
ตอบ 4.ทิศ-Y ด้วยความเร่ง
ที่มา
ประจุไฟฟ้า เป็นคุณสมบัติพื้นฐานถาวรหนึ่งของอนุภาคซึ่งเล็กกว่าอะตอม (subatomic particle) เป็นคุณสมบัติที่กำหนดปฏิกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้า สสารที่มีประจุไฟฟ้านั้นจะสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในขณะเดียวกันก็จะได้รับผลกระทบจากสนามด้วยเช่นกัน ปฏิกิริยาตอบสนองระหว่างประจุ และ สนาม เป็นหนึ่งในสี่ ของแรงพื้นฐาน เรียกว่า แรงแม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น